สสจ.ฉะเชิงเทรา ดำเนินการตรวจผลิตภัณฑ์สุขภาพภายในงานนมัสการพระพุทธโสธร

วันที่ 19 พฤศจิกายน 2561 เวลา 15.00 น. ณ งานนมัสการพระพุทธโสธร ศาลากลางจังหวัดฉะเชิงเทรา กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุข พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่จากสำนักงานสาธารณสุขอำเภอเมือง และเจ้าหน้าที่จากโรงพยาบาลพุทธโสธร ดำเนินการตรวจผลิตภัณฑ์สุขภาพภายในงานนมัสการพระพุทธโสธร ได้แก่ อาหาร และเครื่องสำอาง พร้อมทั้งแจกเอกสารและแนะนำวิธีการตรวจสอบเบื้องต้นผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ถูกกฎหมายให้แก่ผู้ประกอบการภายในงาน จากการตรวจสอบร้านจำหน่ายเครื่องสำอางไม่พบผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่ผิดกฎหมาย นอกจากนี้ ได้ทำการเก็บตัวอย่างอาหารสด เพื่อนำไปตรวจวิเคราะห์หาสารปนเปื้อนด้วยชุดทดสอบเบื้องต้น ได้แก่ สารฟอกขาว สารกันรา สารบอแรกซ์ สารฟอร์มาลีน และน้ำมันทอดซ้ำ จำนวนทั้งหมด 88 ตัวอย่าง ได้แก่ สไบนาง หมึกกรอบ หมึกสด หมึกกรอบ กุ้ง หอยนางรม หอยแมลงภู่ ไส้กรอกอีสาน แป้งสำหรับประกอบอาหาร น้ำมันทอดซ้ำ ผักสด เช่น แตงกวา พริก ถั่วงอก ขิงซอย ฯ ปรากฏว่าพบตัวอย่างอาหารที่มีสารปนเปื้อน 4 ตัวอย่าง เป็นสารฟอร์มาลินในหมึกกรอบ 2 ตัวอย่าง สไบนาง 1 ตัวอย่าง และ หอยนางรม 1 ตัวอย่าง ทั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้ให้คำแนะนำ และให้ผู้ประกอบการทำลายอาหารดังกล่าวทันที รวมถึงได้ชี้แจงให้ผู้ประกอบการรับทราบว่า หากพบว่ามีการจำหน่ายอาหารที่ไม่ปลอดภัยอีกครั้งจะดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการเป็นอย่างดี ซึ่งทางกลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุข มีแผนในการดำเนินการเฝ้าระวังและติดตามอย่างต่อเนื่องต่อไป

ภาพ กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภคและเภสัชสาธารณสุข สสจ.ฉะเชิงเทรา /ข่าว กลุ่มงานสื่อสารองค์กร สสจ.ฉะเชิงเทรา

กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เปิดรับสมัครสอบและประเมินความรู้ความสามารถ ของผู้ที่สนใจยื่นขอใบอนุญาตเป็นผู้ดำเนินการสปา 

กรม สบส. เปิดสอบวัดความรู้ความสามารถของผู้สนใจเป็นผู้ดำเนินการสปา

พบผลิตภัณฑ์นมผึ้ง (Royal jelly) โฆษณาเกินจริงทางสื่อออนไลน์!! เตือนผู้บริโภคอย่าได้หลงเชื่อ

พบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารปลอม โฆษณาทางสื่อออนไลน์ ประชาชนอย่าหลงเชื่อ

คลิกเพื่ออ่านข่าวฉบับเต็ม

พบผลิตภัณฑ์นมผึ้ง (Royal jelly) โฆษณาเกินจริงทางสื่อออนไลน์ ตรวจสอบเลขสารบบอาหารถูกยกเลิกไปแล้วตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2560 เข้าข่ายเป็นผลิตภัณฑ์อาหารปลอม และเป็นการโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาต อย. ดาเนินการระงับโฆษณา เตือนประชาชนอย่าหลงเชื่อซื้อมาบริโภค อาจได้รับอันตราย

นพ. พูลลาภ ฉันทวิจิตรวงศ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า สานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้รับเรื่องร้องเรียนขอให้ตรวจสอบเว็บไซต์ http://www.facebook.com/phiriya.ladpala จากการตรวจสอบข้อมูลเบื้องต้นพบเฟซบุ๊ก ชื่อ Noolek Phiriya มีภาพและข้อความโฆษณาผลิตภัณฑ์ Wealthy Health Royal Jelly ด้วยข้อความที่ไม่ได้รับอนุญาต เช่น “นมผึ้งแท้ 100% เป็นยาอายุวัฒนะที่อัศจรรย์ ช่วยผู้ป่วยมะเร็งในระยะแพร่กระจาย ต่อต้าน การเจริญเติบโตของเชื้อแบคที่เรียและเชื้อดื้อยา ต่อต้านอนุมูลอิสระ สุขภาพผิวดี ดูอ่อนกว่าวัย” เป็นต้น และยังพบเว็บไซต์ที่มีการโฆษณาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวโดยไม่ได้รับอนุญาตอีก 2 เว็บไซต์ คือ http://www.อาหารเสริมนมผึ้ง.com และ http://www.wealthyhealth-th.com เมื่อตรวจสอบฉลากผลิตภัณฑ์พบระบุชื่อ นมผึ้ง (Royal jelly) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (ตรา ดับเบิ้ลยูเอช รอยัลเยลลี่ 1000 มก.) เลขสารบบอาหาร 10-3-32257-1-0001 นาเข้าและ จัดจาหน่ายโดย บริษัท กู๊ดเฮลท์ อินเตอร์เทรดดิ้ง จากัด จากการตรวจสอบเลขสารบบอาหาร พบข้อมูลผู้ประกอบการแจ้งยกเลิกไปแล้วตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2560 ผลิตภัณฑ์ที่พบในท้องตลาดหลังจากนี้ อาจเข้าข่ายเป็นผลิตภัณฑ์อาหารปลอม การโฆษณาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจึงถือเป็น การโฆษณาคุณประโยชน์ หรือสรรพคุณเป็นเท็จและเป็นโฆษณาที่ไม่ได้รับอนุญาต มีความผิด ตามพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 โฆษณาสรรพคุณของอาหารด้วยข้อความที่ไม่ได้รับอนุญาต มีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท โดย อย. ได้มีหนังสือสั่งระงับการโฆษณา รวมทั้งดาเนินการ ตามกฎหมายกับผู้กระทาการโฆษณาผลิตภัณฑ์ดังกล่าวแล้ว

รองเลขาธิการ ฯ กล่าวต่อไปว่า ขอแจ้งเตือนผู้บริโภคอย่าได้หลงเชื่อ ตกเป็นเหยื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่โอ้อวดสรรพคุณเกินจริงทางสื่อออนไลน์ ขอให้ผู้บริโภคดูแลสุขภาพของตนเอง ระมัดระวังการบริโภคผลิตภัณฑ์สุขภาพ อาจได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต หากผู้บริโภครับประทานผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร แล้วมีอาการผิดปกติหรือพบผลิตภัณฑ์ที่ต้องสงสัย สามารถแจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือ E-mail:1556@fda.moph.go.th หรือตู้ ปณ. 1556 ปณฝ. กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11000 หรือผ่านทาง Oryor Smart Application หรือสานักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ

คลิกเพื่ออ่านข่าวฉบับเต็ม

แบบฟอร์มต่างๆสำหรับผู้ประกอบการ

คำชี้แจง การต่ออายุใบรับจดแจ้งเครื่องสำอาง

การต่ออายุใบรับจดแจ้งเครื่องสำอาง

โปรดอ่าน!! 

  1.  ใบรับจดแจ้งมีอายุ 3 ปีผู้จดแจ้งที่ประสงค์จะต่ออายุใบรับจดแจ้งจะต้องยื่นคำขอต่ออายุ(แบบจ.ค.๒) ภายใน 180 วันก่อนวันสิ้นอายุ
  2. ผู้ยื่นคำขอต้องกรอกรายละเอียดในคำขอต่ออายุ (แบบจ.ค.๒) พร้อมทั้งแนบเอกสารหลักฐานให้ครบถ้วน
  3. สามารถยื่นคำขอเป็นเอกสารได้ที่ศูนย์บริการผลิตภัณฑ์สุขภาพเบ็ดเสร็จ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัด หรือยื่นผ่านระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา และชำระค่าธรรมเนียมคำขอ ฉบับละ 100 บาท
  4. พนักงานเจ้าหน้าที่ตรวจสอบรายละเอียดในคำขอและเอกสารหลักฐาน หากพบว่าครบถ้วน ถูกต้อง จะออกใบต่ออายุใบรับจดแจ้งเครื่องสำอาง (แบบจ.ค.๓) ให้ไว้เป็นหลักฐาน
  5. ผู้ประกอบการจะต้องชำระค่าธรรมเนียมการต่ออายุใบรับจดแจ้ง ฉบับละ 900 บาท (กรณีวิสาหกิจขุมซน ที่ได้จดทะเบียนตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมวิสาหกิจขุมซน ค่าธรรมเนียมฉบับละ 400 บาท)
  6. กรณีใบรับจดแจ้งสิ้นอายุแล้ว

(1) ถ้าใบรับจดแจ้งสิ้นอายุไม่เกิน 1 เดือน ผู้จดแจ้งสามารถขอผ่อนผันและแสดงเหตุผลประกอบการ ยื่นคำขอต่ออายุได้ แต่ต้องชำระค่าปรับรายวัน วันละ 400 บาท (หากเป็นนิติบุคคลจะต้องชำระค่าปรับทั้งใน ฐานะนิติบุคคลและกรรมการ รวมเป็นค่าปรับวันละ 1,000 บาท )

(2) ถ้าใบรับจดแจ้งสิ้นอายุเกิน 1 เดือน ผู้จดแจ้งไม่สามารถต่ออายุใบรับจดแจ้งนั้นได้ หากประสงค์ จะผลิตหรือน่าเข้าเครื่องสำอางนั้นต่อไป จะต้องยื่นคำขอจดแจ้งใหม่ และได้รับเลขที่ใหม่ด้วย

ต่ออายุใบรับจดแจ้ง —>  คลิก 

ชี้แจงการจัดทำบัญชียาสำหรับร้านขายยาแผนปัจจุบัน

ตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่อง กำหนดแบบคำขอและใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน ลงวันที่16 พฤษภาคม พ.ศ.2557   (ประกาศในราชกิจจานุเบกษา กันยายน พ.ศ.2557 ดูรายละเอียดได้ที่ http://www.ratchakitcha.soc.go.th/DATA/PDF/2557/E/172/9.PDF) กำหนดให้จัดทำบัญชีดังนี้

1. บัญชีการซื้อยา ให้จัดทำบัญชีการซื้อยาแต่ละอย่างทุกครั้งโดยแสดงเลขที่หรืออักษรของครั้งที่ ผลิต ชื่อผู้ขาย (ดูให้ดี กฎหมายใช้คำว่า “ผู้ขาย” คือ คนที่ไปซื้อยากับเขา ไม่ใช่ “บริษัทที่ผลิต”) ยาที่ขาย ชื่อ และปริมาณยา ตลอดจนวัน เดือน ปีที่ซื้อ และลงรายชื่อผู้มีหน้าที่ปฏิบัติการ ตามแบบ ข.ย. 9

ดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้ที่ คลิก

2. บัญชีการขายยาอันตราย ตามประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่อง รายการยาอันตรายที่ต้องทำบัญชีการขายยา ลงวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ.2558 ได้กำหนดรายการยาอันตรายที่ต้องทำบัญชี ตามแบบ ข.ย.11 ดังนี้  

 (1) ยาที่มีตัวยาทรามาดอล (Tramadol) เป็นส่วนประกอบ ทั้งในตำรับยาเดี่ยว และยาสูตรผสม ทุกรูปแบบ

 (2) ยาที่มีตัวยาเดกซ์โตรเมธอร์แฟน (Dextromethorphan) เป็นส่วนประกอบในตำรับยาเดี่ยวและยาสูตรผสม ทุกรูปแบบ

 (3) ยาที่มีตัวยาในกลุ่มแอนติฮีสตามีน (Antihistamine) ตามรายการที่แนบท้ายประกาศ ที่เป็นส่วนประกอบทั้งในตำรับยาเดี่ยวและยาสูตรผสม เฉพาะที่เป็นยารูปแบบยาน้ำ

(3.1) บรอมเฟนนิรามีน (Brompheniramine)

(3.2) คาร์บิน็อกซามีน (Carbinoxamine)

(3.3) คลอร์เฟนิรามีน (Chlorpheniramine)

(3.4) ไซโปรเฮปทาดีน (Cyproheptadine)

(3.5) เดกซ์คลอร์เฟนิรามีน (Dexchlorpheniramine)

(3.6) ไดเมนไฮดริเนต (Dimenhydrinate)

(3.7) ไดเฟนไฮดรามีน (Diphenhydramine)

(3.8) ด็อกซี่ลามีน (Doxylamine)

(3.9) ไฮดรอกซีซีน (Hydroxyzine)

(3.10) โปรเมทาซีน (Promethazine)

(3.11) ไตรโพรลิดีน (Triprolidine)

ดังนั้น เซทิริซีน ไซรัป (Cetirizine Syrup)ลอราทาดีน ไซรัป (Loratadine Syrup) ไม่ต้องทำบัญชี ข.ย.11 ในขณะนี้


ดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้ที่  คลิก

3. บัญชีการขายยาควบคุมพิเศษ  ตามกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน พ.ศ. 2556 และประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่อง กำหนดแบบคำขอและใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน ลงวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ.2557 กำหนดให้จัดทำบัญชีการขายยาควบคุมพิเศษแต่ละอย่างทุกครั้งโดยแสดงเลขที่หรืออักษรของครั้งที่ผลิต ชื่อและปริมาณยา ตลอดจนวัน เดือน ปี ที่ขายตามแบบ ข.ย. 10 และให้เก็บบัญชีไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่า สามปีนับแต่วันขาย  ซึ่งแบบตามแบบ ข.ย. 10 ใบหนึ่งเขียนได้เฉพาะชื่อการค้าเดียวและเลขที่หรืออักษรของครั้งที่ผลิตเดียวเท่านั้น ที่สำคัญ คือ แบบ ข.ย.10 นี้ ให้ระบุชื่อผู้ซื้อด้วย)


ดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้ที่ คลิก

4. บัญชีการขายยาตามประเภทที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยากำหนด  รายการยาที่ต้องรายงานต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ลงวันที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ.2558 กำหนดให้ผู้รับอนุญาตขายยาแผนปัจจุบันเฉพาะที่เป็นขายส่ง และผู้รับอนุญาตขายส่งยาแผนปัจจุบัน รายงานการขายยาตามแบบ ข.ย.13 ทุก 4 เดือน และส่งรายงานต่อสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาภายใน 30 วันนับแต่วันครบกำหนด 4 เดือน โดยมีรายการยาที่ต้องทำบัญชี ข.ย.13 ดังนี้

(1)  ยาที่มีตัวยาทรามาดอล (Tramadol) เป็นส่วนประกอบในตำรับยาเดี่ยวและยาสูตรผสม ทุกรูปแบบ
(2) ยาที่มีตัวยาเดกซ์โตรเมธอร์แฟน (Dextromethorphan) เป็นส่วนประกอบในตำรับยาเดี่ยวและยาสูตรผสม ทุกรูปแบบ
(3) ยาที่มีตัวยาในกลุ่มแอนติฮีสตามีน (Antihistamine) ตามรายการที่แนบท้ายประกาศฉบับนี้ที่เป็นส่วนประกอบทั้งในตำรับยาเดี่ยวและยาสูตรผสม เฉพาะที่เป็นยารูปแบบยาน้ำ
(3.1) บรอมเฟนนิรามีน (Brompheniramine)
(3.2) คาร์บิน็อกซามีน (Carbinoxamine)
(3.3) คลอร์เฟนิรามีน (Chlorpheniramine)
(3.4) ไซโปรเฮปทาดีน (Cyproheptadine)
(3.5) เดกซ์คลอร์เฟนิรามีน (Dexchlorpheniramine)
(3.6) ไดเมนไฮดริเนต (Dimenhydrinate)
(3.7) ไดเฟนไฮดรามีน (Diphenhydramine)
(3.8) ด็อกซี่ลามีน (Doxylamine)
(3.9) ไฮดรอกซีซีน (Hydroxyzine)
(3.10) โปรเมทาซีน (Promethazine)
(3.11) ไตรโพรลิดีน (Triprolidine)
(4) ยาที่มีตัวยาซิลเดนาฟิล (Sildenafil) หรือทาดาลาฟิล (Tadalafil) หรือวาเดนาฟิล (Vardenafil) ในตำรับยาเดี่ยว เฉพาะที่เป็นรูปแบบยาเม็ดและยาแคปซูล

ดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้ที่ คลิก

5. บัญชีขายยาตามใบสั่งยา บัญชีนี้จะเกิดขึ้นเมื่อมีการขายยาตามใบสั่งใบสั่งยาของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบโรคศิลปะ หรือผู้ประกอบการบำบัดโรคสัตว์ ไม่ว่ายานั้นจะเป็นประเภทใดก็ตาม  และตามกฎกระทรวงการขออนุญาตและการออกใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน พ.ศ. 2556 และประกาศสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เรื่อง กำหนดแบบคำขอและใบอนุญาตขายยาแผนปัจจุบัน ลงวันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ.2557 ให้จัดทำบัญชีการขายยาแต่ละอย่างทุกครั้งที่ขายตามใบสั่งยาของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ผู้ประกอบโรคศิลปะ หรือผู้ประกอบวิชาชีพการสัตวแพทย์ โดยแสดงชื่อ อายุ และที่อยู่ของผู้ใช้ยา ชื่อ และที่อยู่หรือที่ทำงานของผู้สั่งยา ชื่อและปริมาณยา ตลอดจนวัน เดือน ปี ที่ขายตามแบบ ข.ย. 12 และให้เก็บใบสั่งยาไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปีนับแต่วันขาย และให้เก็บบัญชีไว้เป็นเวลาไม่น้อยกว่าสามปี นับแต่วันขาย


ดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้ที่ คลิก

6. ในกรณีที่มีการขายวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทธิ์ในประเภท 3 หรือประเภท 4 ต้องมีการจัดทำบัญชีการขายวัตถุออกฤทธิ์ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท. พ.ศ. ๒๕๕๙ ด้วย โดยจัดทำบัญชีดังรายการดังต่อไปนี้

6.1.บัญชีซื้อวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 3 หรือประเภท 4 ตาม​แบบ บ.ว.จ. 3/4-ช 

ดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้ที่ คลิก

ุ6.2. บัญชีขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 3 หรือประเภท 4 ตามแบบ บ.ว.จ. 3/4-ข 

ดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้ที่ คลิก

6.3. บัญชีขายวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 3 หรือประเภท 4 (ตามใบสั่งยาของผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือทันตกรรม หรือการสัตวแพทย์ชั้นหนึ่ง)ตามแบบ บ.ว.จ. 3/4-ขพ 

ดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้ที่ คลิก

6.4.  บัญชีรับ-จ่ายวัตถุออกฤทธิ์ที่มีไว้ในครอบครอง ตามแบบ บ.จ.8  

ดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้ที่ คลิก

6.5. รายงานเกี่ยวกับวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 3 หรือประเภท 4 ตามแบบ ร.ว.จ.3/4/เดือน 

ดาวน์โหลดแบบฟอร์มได้ที่ คลิก

ด่วน ! อย. เพิกถอนทะเบียนและใบอนุญาต ผลิตภัณฑ์ยาจุดกันยุง เรนเจอร์ สเก้าท์ และอาท พลัส ยาจุดกันยุง 1 แล้ว

 อย. เพิกถอนทะเบียนและใบอนุญาตผลิตภัณฑ์ยาจุดกันยุง เรนเจอร์ สเก้าท์ และผลิตภัณฑ์ อาท พลัส  ยาจุดกันยุง 1 หลังพบสารที่ใช้ เป็นสารที่ อย. ยังไม่เคยรับขึ้นทะเบียนมาก่อน และยังไม่ผ่านการประเมินด้านประสิทธิภาพ ความปลอดภัย จึงขอให้ผู้นำเข้าเรียกเก็บคืนไปยังประเทศผู้ผลิต หรือทำลาย สำหรับผู้ขายให้คืนกับผู้ที่ตนซื้อมา ส่วนผู้ใช้ไม่ควรใช้และห้ามส่งมอบต่อให้บุคคลอื่นเพื่อใช้จุดกันยุงเด็ดขาด   

           เภสัชกร สมชาย ปรีชาทวีกิจ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้มีคำสั่งเพิกถอนทะเบียนและใบอนุญาตผลิตภัณฑ์ยาจุดกันยุง เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2561 ที่ผ่านมาโดยตรวจพบผลิตภัณฑ์ยาจุดกันยุง เรนเจอร์ สเก้าท์ ทะเบียนเลขที่ 537/2555 ใบอนุญาตนำเข้าวัตถุอันตรายเลขที่ 126/2555 ใบอนุญาตส่งออกวัตถุอันตรายเลขที่ 8/2558 และผลิตภัณฑ์อาท พลัส ยาจุดกันยุง 1 ทะเบียนเลขที่ 9/2558 ใบอนุญาตนำเข้าวัตถุอันตรายเลขที่ 2/2558 (ปัจจุบันหมดอายุแล้ว) ใบอนุญาตส่งออกวัตถุอันตรายเลขที่ 74/2559 นำเข้าจากสาธารณรัฐประชาชนจีน โดย บริษัท ธนัทกร อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผลการตรวจไม่พบสารสำคัญ d-Allethrin ตามที่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ นอกจากนี้ ยังตรวจพบสาร Bioallethrin สาร Meperfluthrin และสาร Heptafluthrin ซึ่งไม่ได้ขึ้นทะเบียนไว้ สำหรับสาร Meperfluthrin และสาร Heptafluthrin เป็นสารที่ อย. ไม่เคยรับขึ้นทะเบียนมาก่อน ประกอบกับองค์การอนามัยโลกยังไม่มีการบรรจุสารนี้ในรายชื่อให้ใช้ได้ในการกำจัดและไล่แมลง โดยไม่มีการศึกษาปริมาณการใช้ที่เหมาะสม และสารนี้ยัง  ไม่ผ่านการประเมินด้านประสิทธิภาพ ความปลอดภัย ความเหมาะสมของอัตราการใช้ สำหรับคน สัตว์ และสิ่งแวดล้อม อาจก่อให้เกิดอันตรายต่อผู้ใช้ได้ ซึ่งสารทั้ง 3 ชนิดนี้จัดเป็นวัตถุอันตรายชนิดที่ 3 ต้องขึ้นทะเบียนก่อนนำเข้า เมื่อได้รับใบสำคัญการขึ้นทะเบียนแล้วจึงออกใบอนุญาตนำเข้าได้ เมื่อเจ้าหน้าที่ตรวจสอบไม่พบสารสำคัญตามที่ขึ้นทะเบียน แต่กลับพบสารอื่นที่ อย.ไม่เคยรับขึ้นทะเบียนมาก่อนเข้าข่ายเป็นสิ่งที่ทำเทียมวัตถุอันตรายแท้ทั้งหมดหรือบางส่วน และจัดเป็นวัตถุอันตรายปลอม ดังนั้น เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภค อย.จึงได้เพิกถอนทะเบียนและใบอนุญาตผลิตภัณฑ์ยาจุดกันยุงดังกล่าว ตามคำสั่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ที่ 478/2561 ลงวันที่ 21 กันยายน 2561

  จึงขอให้ผู้นำเข้าเรียกเก็บคืนผลิตภัณฑ์ยาจุดกันยุง เรนเจอร์ สเก้าท์  และผลิตภัณฑ์ อาท พลัส ยาจุด   กันยุง 1 จากผู้มีไว้ในครอบครอง และรวบรวมส่งคืนไปยังประเทศผู้ผลิต หรือหากไม่ประสงค์คืนไปยังประเทศผู้ผลิตให้แจ้ง อย. ทราบเพื่อควบคุมการทำลาย สำหรับผู้ขายให้คืนผู้ที่ตนซื้อมา หรือขายคืนให้กับผู้นำเข้าสำหรับผู้บริโภคไม่ควรใช้และห้ามส่งมอบต่อให้บุคคลอื่นเพื่อใช้จุดกันยุง รองเลขาธิการฯ อย. กล่าวในที่สุด

ยกระดับไซบูทรามีนเป็นวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ฝ่าฝืนโทษหนัก!!!! จำคุกสูงสุดถึง 20 ปี และปรับถึง 2 ล้านบาท

ดีเดย์ 23 ก.ย. 2561 ยกระดับไซบูทรามีนเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ประเภท 1 โทษรุนแรง ผู้ใดผลิต นำเข้าหรือส่งออกผลิตภัณฑ์ที่มีไซบูทรามีนเป็นส่วนผสม มีโทษจำคุกตั้งแต่ 5 – 20 ปี และปรับตั้งแต่ 5 แสนบาท – 2 ล้านบาท หากขายจะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 4 – 20 ปี และปรับตั้งแต่ 4 แสนบาท – 2 ล้านบาท รวมถึงการครอบครองหรือบริโภคผลิตภัณฑ์ดังกล่าวก็ถือว่าเป็นการกระทำผิด มีโทษจำคุกหรือปรับด้วย

           นพ.พูลลาภ ฉันทวิจิตรวงศ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า จากการที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ตรวจสอบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่จำหน่ายในท้องตลาดเป็นระยะอย่างต่อเนื่อง โดยที่ผ่านมามักพบว่ามีผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่โฆษณาอวดอ้างลดน้ำหนัก มีการใส่ไซบูทรามีน ซึ่งทำให้เกิดผลข้างเคียงรุนแรงต่อผู้บริโภคบางรายถึงขั้นเสียชีวิต โดยไซบูทรามีน (Sibutramine) ออกฤทธิ์ต่อระบบประสาทส่วนกลางทำให้รู้สึกไม่อยากอาหารและส่งผลข้างเคียงกับคนที่เป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดต่าง ๆ ในปี 2553 ประเทศในยุโรปจึงประกาศยกเลิกไม่ให้ใช้ยานี้ รวมทั้งในประเทศไทยได้มีการเรียกเก็บยาที่มีสารไซบูทรามีนออกจากท้องตลาดและยกเลิกทะเบียนยาไซบูทรามีน อย่างไรก็ตาม ปัญหาการลักลอบใส่ไซบูทรามีนในผลิตภัณฑ์เสริมอาหารก็ยังคงพบอยู่ ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุข จึงได้ออกประกาศฯ กำหนดให้ไซบูทรามีนเป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1  ตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ. 2559 และมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 23 กันยายน 2561 เป็นต้นไป ผู้ใดผลิตนำเข้าหรือส่งออกผลิตภัณฑ์ที่มีไซบูทรามีนเป็นส่วนผสมจะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 5 – 20 ปี และปรับตั้งแต่ 5 แสนบาท – 2 ล้านบาท ผู้ใดขายจะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 4 – 20 ปี และปรับตั้งแต่  4 แสนบาท – 2 ล้านบาท ผู้ใดครอบครองจะมีโทษจำคุกตั้งแต่ 1 -5 ปี หรือปรับตั้งแต่ 2 หมื่นบาท – 1 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ รวมไปถึงผู้ที่บริโภคผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ก็ถือว่าเป็นความผิดด้วย โดยมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

นพ.พูลลาภ  ฉันทวิจิตรวงศ์ รองเลขาธิการฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไม่สามารถลดความอ้วนได้ หากมีการโฆษณาว่าสามารถช่วยรักษาโรค ลดความอ้วนหรือมีผลในทางยา ขอให้สงสัยไว้ก่อนว่าอาจมีส่วนผสมของยา ซึ่งผู้ใช้อาจได้รับผลข้างเคียงจากยานั้น จนเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิต หากผู้บริโภคต้องการลดน้ำหนักอย่างถูกวิธี ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและควบคุมอาหาร รวมทั้งออกกำลังกายอย่างเหมาะสม หากผู้บริโภคต้องการใช้ยาลดความอ้วนจะต้องใช้ภายใต้การควบคุมดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้น ไม่ควรหาซื้อยามารับประทานเอง เพราะอาจส่งผลกระทบกับสุขภาพและชีวิต การใช้ยาลดความอ้วนไม่สามารถทำให้หายจากโรคอ้วนได้ เมื่อหยุดยาไประยะหนึ่งแล้วจะทำให้น้ำหนักกลับมาเพิ่มมากยิ่งขึ้น หรือที่เรียกว่า YO – YO Effect หากผู้บริโภคพบเห็นเบาะแสการโฆษณา การผลิต/จำหน่ายยาลดความอ้วนผิดกฎหมาย ขอให้แจ้งมาได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือ รัองเรียนผ่าน Oryor Smart Application หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศเพื่อดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดอย่างเข้มงวดต่อไป

คลิกเพื่ออ่านข่าวฉบับเต็ม

บัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2561 (วันที่ 26 กรกฎาคม 2561)

บัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2561 (วันที่ 26 กรกฎาคม 2561)

คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติได้ออกประกาศ เรื่อง บัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2561 ณ วันที่  26 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 ให้ยกเลิกประกาศ คณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ เรื่อง บัญชียาหลักแห่งชาติ พ.ศ. 2561 ลงวันที่ 4 มกราคม 2561 และให้ใช้รายการยาในบัญชีแนบท้ายประกาศฯ เป็นยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ

ทั้งนี้ ให้มีผลบังคับใช้เมื่อพ้นสามสิบวันนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

ขอเชิญผู้เกี่ยวข้องและผู้สนใจศึกษารายละเอียด /download เอกสารที่เกี่ยวข้องได้ที่ link ต่อไปนี้